
ขนมชั้น
เป็นอาหารหวานของไทยที่มีมาแต่โบราณ นิยมนำมาใช้ในงานมงคลต่างๆ ในปัจจุบันเราจะหาขนมชั้นที่อร่อยๆ กินกันค่อนข้างยาก ขนมชั้นมีวิธีการทำที่ค่อนข้างยุ่งยาก และต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์พอสมควร โดยเฉพาะการหยอดแป้งแต่ละชั้น ปริมาณของแป้งต้องเท่ากัน จึงจะได้ชั้นที่สวยและสุกทั่วกัน ลักษณะที่ดีของขนมชั้น คือ ขนมทุกชั้นจะต้องสุกและลอกได้เป็นชั้นๆ หน้าเรียบเสมอ ผิวหน้ามันจากกะทิ เนื้อจะเหนียวนุ่ม ขนมชั้นจะใช้แป้งรวมกันถึง ๓ ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น แป้งมันและแป้งเท้ายายม่อมจะให้คุณสมบัติในการทำให้ขนมเหนียว นุ่ม ไม่กระด้าง
ขนมชิ้นเล็กๆ เพียง ๑ ชิ้น ให้พลังงานค่อนข้างมาก มีปริมาณของโปรตีนน้อย เพราะขนมชั้นมีส่วนผสมหลักคือ แป้ง กะทิ น้ำตาลเท่านั้น และเนื่องจากมีส่วนผสมของกะทิในปริมาณมาก ทำให้มีไขมันชนิดอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลสูง ถ้าบริโภคเป็นจำนวนมากจะทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โคเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น จึงไม่แนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้กินขนมชั้น
นอกจากจะมีไขมันในปริมาณมากแล้ว ยังมีรสหวานค่อนข้างมาก เมื่อกินเข้าไปมากเกินความต้องการของร่างกาย พลังงานส่วนเกินที่ได้จะเปลี่ยนจากอาหาร ให้เป็นไขมัน แล้วนำไปสะสมบริเวณหน้าท้อง ต้นขา และเอว ทำให้รูปร่างไม่น่าดู และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่มากับโรคอ้วน
ส่วนผสม
แป้งเท้ายายม่อม ๑ ถ้วยตวง
แป้งมัน ๑ ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า ๑/๒ ถ้วยตวง
น้ำกะทิ ๓ ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย ๒ ถ้วยตวง
น้ำเปล่า ๑ ถ้วยตวง
วิธีทำ
๑. ร่อนแป้งทั้ง ๓ ชนิด รวมกัน
๒. นวดแป้งกับน้ำกะทิ โดยค่อยๆ เติมน้ำกะทิ นวดจนน้ำกะทิหมด ประมาณ ๒๕ นาที
๓. น้ำตาลทรายและน้ำเปล่า ผสมกับน้ำใบเตยตั้งไฟให้เดือด แล้วกรองพักไว้ให้เย็น ค่อยๆ เข้าส่วนผสมแป้ง คนให้เข้ากัน
๔. แบ่งส่วนผสมเป็น ๒ ส่วน
ส่วนที่ ๑ ไม่ต้องใส่สี
ส่วนที่ ๒ ใส่น้ำใบเตยคั้นข้นๆ
๕. นึ่งพิมพ์ขนมให้ร้อนจัด ตักแป้งหยอดทีละชั้น ใช้เวลานึ่งแต่ละชั้น ๗-๘ นาที แล้วจึงหยอดชั้นต่อไป ทำสลับกันจนหมด แต่ชั้นสุดท้ายต้องเป็นสี และควรเพิ่มสีให้เข้มขึ้นจะดูน่ากิน
๖. เมื่อสุกแล้วจึงยกลงจากรังถึง วางผึ่งให้เย็น ตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม
เคล็ดลับ
แป้งที่ตักหยอดแต่ละชั้น ต้องหมั่นคนอย่าให้นอนก้น
วิธีการหยอดขนม ต้องหยอดให้แต่ละชั้นมีปริมาณแป้งที่เท่ากัน และต้องหยอดขณะที่ถาดนึ่งอยู่ในรังถึง และในขณะที่น้ำในรังถึงเดือดด้วย
เป็นอาหารหวานของไทยที่มีมาแต่โบราณ นิยมนำมาใช้ในงานมงคลต่างๆ ในปัจจุบันเราจะหาขนมชั้นที่อร่อยๆ กินกันค่อนข้างยาก ขนมชั้นมีวิธีการทำที่ค่อนข้างยุ่งยาก และต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์พอสมควร โดยเฉพาะการหยอดแป้งแต่ละชั้น ปริมาณของแป้งต้องเท่ากัน จึงจะได้ชั้นที่สวยและสุกทั่วกัน ลักษณะที่ดีของขนมชั้น คือ ขนมทุกชั้นจะต้องสุกและลอกได้เป็นชั้นๆ หน้าเรียบเสมอ ผิวหน้ามันจากกะทิ เนื้อจะเหนียวนุ่ม ขนมชั้นจะใช้แป้งรวมกันถึง ๓ ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น แป้งมันและแป้งเท้ายายม่อมจะให้คุณสมบัติในการทำให้ขนมเหนียว นุ่ม ไม่กระด้าง
ขนมชิ้นเล็กๆ เพียง ๑ ชิ้น ให้พลังงานค่อนข้างมาก มีปริมาณของโปรตีนน้อย เพราะขนมชั้นมีส่วนผสมหลักคือ แป้ง กะทิ น้ำตาลเท่านั้น และเนื่องจากมีส่วนผสมของกะทิในปริมาณมาก ทำให้มีไขมันชนิดอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลสูง ถ้าบริโภคเป็นจำนวนมากจะทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โคเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น จึงไม่แนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้กินขนมชั้น
นอกจากจะมีไขมันในปริมาณมากแล้ว ยังมีรสหวานค่อนข้างมาก เมื่อกินเข้าไปมากเกินความต้องการของร่างกาย พลังงานส่วนเกินที่ได้จะเปลี่ยนจากอาหาร ให้เป็นไขมัน แล้วนำไปสะสมบริเวณหน้าท้อง ต้นขา และเอว ทำให้รูปร่างไม่น่าดู และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่มากับโรคอ้วน
ส่วนผสม
แป้งเท้ายายม่อม ๑ ถ้วยตวง
แป้งมัน ๑ ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า ๑/๒ ถ้วยตวง
น้ำกะทิ ๓ ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย ๒ ถ้วยตวง
น้ำเปล่า ๑ ถ้วยตวง
วิธีทำ
๑. ร่อนแป้งทั้ง ๓ ชนิด รวมกัน
๒. นวดแป้งกับน้ำกะทิ โดยค่อยๆ เติมน้ำกะทิ นวดจนน้ำกะทิหมด ประมาณ ๒๕ นาที
๓. น้ำตาลทรายและน้ำเปล่า ผสมกับน้ำใบเตยตั้งไฟให้เดือด แล้วกรองพักไว้ให้เย็น ค่อยๆ เข้าส่วนผสมแป้ง คนให้เข้ากัน
๔. แบ่งส่วนผสมเป็น ๒ ส่วน
ส่วนที่ ๑ ไม่ต้องใส่สี
ส่วนที่ ๒ ใส่น้ำใบเตยคั้นข้นๆ
๕. นึ่งพิมพ์ขนมให้ร้อนจัด ตักแป้งหยอดทีละชั้น ใช้เวลานึ่งแต่ละชั้น ๗-๘ นาที แล้วจึงหยอดชั้นต่อไป ทำสลับกันจนหมด แต่ชั้นสุดท้ายต้องเป็นสี และควรเพิ่มสีให้เข้มขึ้นจะดูน่ากิน
๖. เมื่อสุกแล้วจึงยกลงจากรังถึง วางผึ่งให้เย็น ตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม
เคล็ดลับ
แป้งที่ตักหยอดแต่ละชั้น ต้องหมั่นคนอย่าให้นอนก้น
วิธีการหยอดขนม ต้องหยอดให้แต่ละชั้นมีปริมาณแป้งที่เท่ากัน และต้องหยอดขณะที่ถาดนึ่งอยู่ในรังถึง และในขณะที่น้ำในรังถึงเดือดด้วย